ปัจจุบัน ด้วยอินเตอร์เน็ตกับซอฟท์แวร์ใหม่ๆ เช่น Twitter, Facebook และอื่นๆ ในกลุ่มที่เรียกว่า social media ได้อำนวยให้มวลชนทั่วโลกสื่อสารถึงกันได้ด้วยความสะดวกตลอดเวลา เหมือนกับว่ามวลชนทั้งหมดนั้นอยู่ใกล้กันในห้องเดียวกัน ด้วยเหตุที่ข้อมูลต่างๆที่มวลชนส่งถึงกันนั้นผ่านระบบสื่อสารไปอย่างรวดเร็วไม่ผิดเพี้ยน อย่างไม่มีข้อจำกัดใดๆเลย จึงก่อให้เกิดโอกาสที่จะใช้ข้อมูลหลอกลวงมวลชนได้ง่ายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย
เรายังมีคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้สอนในเรื่องการเชื่อข้อมูลต่างๆไว้เมื่อกว่า 2500 ปีที่ซึ่งยังสามารถใช้ได้ดี เหมาะกับสมัยปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง พระพทุธเจ้าทรงตรัสกับ ชาวนิคมกาลามะ ซึ่งกลายเป็นชื่อของสูตรคำสนอนี้ คือ กาลามะสูตร ดังต่อไปนี้
ท่านทั้งหลาย
๑.อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
๒.อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆกันมา
๓.อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้
๔.อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา
๕.อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง
๖.อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน
๗.อย่าได้ยึดถือโดยความตรึกตามอาการ
๘.อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตัว
๙.อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
๑๐.อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย
เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ท่านได้รับข้อมูลอะไรมาก็ใช้ กาลามะสูตรนี้ช่วยไตร่ตรองเลือกเอาสิ่งควรนำมายึดถือ ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเป็นเหยื่อของผู้หลอกลวงในสังคมข่าวสารเช่นปัจจุบันนี้
ที่มา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ใส่ความเห็น